โพสต์โดย : totheworld เมื่อ 28 มี.ค. 2567 13:21:10 น. อ่าน 6 ตอบ 0
อย่างที่ทราบกันว่าชีวิตคนเราเต็มไปด้วยความไม่แน่นอน การวางแผนประกันชีวิตจึงเป็นหนึ่งในวิธีการดูแลคนข้างหลังได้มากที่สุด เนื่องจากการวางแผนประกันช่วยให้คนข้างหลังมีเงินก้อนเพียงพอสำหรับการใช้จ่ายต่อไปสักระยะ อย่างไรก็ตาม แม้ประกันชีวิตดังกล่าวจะได้รับผลประโยชน์และเงื่อนไขที่ดีมากแค่ไหน แต่หากขาดการวางแผนที่รอบคอบ อาจกลายเป็นภาระทางการเงินในภายหลังได้
ดังนั้น บทความชิ้นนี้เราจึงขอนำเคล็ดลับการเริ่มวางแผนสำหรับประกันชีวิตอย่างเหมาะสมมาฝากทุกคนกัน รายละเอียดจะเป็นอย่างไรบ้างนั้น ไปติดตามกันเลย
เข้าใจประเภทของ “ประกันชีวิต” มากขึ้น
ปัจจุบันรูปแบบของการทำประกันชีวิตและวางแผนประกันสุขภาพ มีทั้งหมด 3 ประเภท เริ่มจากประกันชีวิตตามเงินปันผล ซึ่งผู้เอาประกันจะได้รับผลตอบแทนที่บริษัทประกันปันผลจากผลประกอบการทั้งหมด ในขณะเดียวกันก็มีรูปแบบของประเภทที่ไม่มีเงินปันผลด้วยเช่นกัน ทั้งหมดนี้จึงเรียกได้ว่าเป็นหนึ่งในรูปแบบการลงทุน สำหรับวางแผนออมเงินในอนาคต
ประเภทต่อมาคือประกันชีวิตตามทุนและเบี้ยประกัน ที่แบ่งออกเป็นประเภทอุตสาหกรรม มีวงเงินเอาประกันอยู่ที่ 10,000 - 30,000 บาท และประเภทต่อมาคือประเภทกลุ่มที่มีเบี้ยประกันต่ำสุด เหมาะกับการให้ความคุ้มครองคนจำนวนมาก และสุดท้ายคือประเภทสามัญ ซึ่งเหมาะสำหรับผู้มีรายได้ปานกลางถึงสูง
สุดท้ายคือประกันชีวิตตามเงื่อนไข ซึ่งแบ่งย่อยออกเป็น 4 ประเภท ได้แก่ ประเภทได้เงินประจำ ประเภทชั่วระยะเวลา ประเภทตลอดชีพ และประเภทสะสมทรัพย์ ซึ่งถือเป็นประกันที่ได้รับความนิยม เนื่องจากเป็นรูปแบบของประกันที่ให้ความคุ้มครองและช่วยวางแผนเก็บเงินไปในเวลาเดียวกัน
เช็คสภาพการเงินทั้งหมด
ไม่ว่าเราจะมีรายรับอยู่ที่ระดับกลางหรือสูง ควรตรวจเช็กภาระทางการเงินของตัวเองก่อน จากนั้นจึงเช็กรายได้ทุกช่องทางของเรา ซึ่งไม่ใช่แค่เงินเดือนหรือเงินบำนาญเพียงอย่างเดียว และสุดท้ายคือการเลือกทุนประกันที่เหมาะสม ซึ่งทุนประกันบางประเภทก็เหมาะสำหรับผู้ที่วางแผนออมเงิน เกษียณ และต้องการมีเงินสำรองฉุกเฉิน เราจึงควรพิจารณาทุนประกันให้เหมาะสมกับสภาพการเงินของตัวเองให้มากที่สุด
เลือกเบี้ยประกันภัยให้เป็น
สิ่งที่เราควรคำนึงคือการเลือกเบี้ยประกันภัยให้เป็น เพราะหากทุนประกันภัยสูง เบี้ยประกันภัยก็จะสูงตาม ดังนั้น เพื่อไม่ให้ประกันชีวิตส่งผลกระทบกับการเงินวางแผนเกษียน และวางแผนใช้หนี้ในแต่ละเดือน การชำระเบี้ยประกันภัยไม่ควรเกิน 10% ของรายได้ทั้งหมดต่อปี
สรุป