เมื่อพูดถึง ผลตอบแทนจาก
ประกันชีวิต คือ
เราต้องแยกระหว่าง 'ผลตอบแทนหลัก' คือความคุ้มครอง กับ
'ผลตอบแทนทางการเงิน' ที่มาจากการออมหรือการลงทุน ซึ่งส่วนใหญ่มาจากประกัน 2
ประเภทหลัก:
ประกันชีวิตแบบสะสมทรัพย์ : ได้รับผลตอบแทนเป็น เงินปันผล (ถ้ามี) และ เงินก้อนเมื่อครบกำหนดสัญญา
ประกันชีวิตควบการลงทุน : ได้รับผลตอบแทนจาก การเติบโตของมูลค่าหน่วยลงทุน ที่คุณเลือก
คำว่า "คุ้มค่า" ในบริบทของประกันชีวิตไม่ได้วัดแค่ตัวเลขผลตอบแทนเท่านั้น แต่ต้องมองในภาพรวมของ "ความมั่นคง" ด้วย
ข้อดี: ความคุ้มค่าที่ไม่ใช่แค่ตัวเงินสร้างวินัยการออม: เป็นการออมแบบถูกบังคับ หากเลิกจ่ายอาจทำให้เสียผลประโยชน์
ความมั่นคงด้านภาษี: เบี้ยประกันส่วนที่ลดหย่อนภาษีได้ช่วยลดภาระภาษีของคุณในแต่ละปี
ลดความเสี่ยงชีวิต
(ผลตอบแทนที่แท้จริง): เมื่อเกิดเหตุไม่คาดฝัน
เงินสินไหมทดแทนที่ได้รับนั้นสูงกว่าเบี้ยที่คุณจ่ายไปหลายเท่าตัว
ถือเป็นผลตอบแทนที่คุ้มค่าที่สุด
ผลตอบแทนที่แน่นอน (สะสมทรัพย์): สำหรับแบบสะสมทรัพย์ อัตราผลตอบแทนมักจะถูกระบุไว้ชัดเจน (แม้จะต่ำ แต่แน่นอนและปราศจากความเสี่ยง)
ข้อควรพิจารณา: เมื่อเทียบกับการลงทุนอื่นผลตอบแทนอาจต่ำกว่า:
โดยเฉพาะ ประกันชีวิตแบบสะสมทรัพย์ ที่เน้นความแน่นอน
ผลตอบแทนที่แท้จริงหลังหักค่าธรรมเนียมแล้ว
มักจะต่ำกว่าการลงทุนในกองทุนรวมหรือหุ้นโดยตรง
สภาพคล่องต่ำ: หากถอนเงินออกมาก่อนครบกำหนดสัญญา (เวนคืนกรมธรรม์) คุณอาจได้เงินคืนน้อยกว่าที่จ่ายเบี้ยไปทั้งหมด
ผลตอบแทนจากประกันชีวิตจะ "คุ้มค่า" ก็ต่อเมื่อคุณใช้มันเพื่อวัตถุประสงค์หลัก:ถ้าเน้นความมั่นคง: ประกันชีวิตสะสมทรัพย์ คุ้มค่าเพราะให้ผลตอบแทนที่แน่นอนและมีวินัยการออม
ถ้าเน้นโอกาสเติบโต: ประกันชีวิตควบการลงทุน คุ้มค่า เพราะให้โอกาสได้ผลตอบแทนสูงกว่า พร้อมความคุ้มครองชีวิต
คำแนะนำ:
หากคุณต้องการผลตอบแทนสูงสุด ให้เน้นการลงทุนในช่องทางอื่น แต่หากต้องการ
สมดุลระหว่างความคุ้มครอง การออม และลดหย่อนภาษี
ประกันชีวิตถือเป็นทางเลือกที่คุ้มค่าอย่างยิ่ง