ในโลกของการเงินและการลงทุนยุคใหม่ การสร้างวินัยทางการเงินพร้อมกับการวางแผนภาษีถือเป็นกลยุทธ์สำคัญที่ชาญฉลาด
ประกันแบบสะสมทรัพย์
จึงเป็นผลิตภัณฑ์ที่ตอบโจทย์ทั้งสองด้านนี้ได้อย่างลงตัว
เพราะนอกจากจะเป็นเครื่องมือในการ ออมเงิน อย่างมีเป้าหมายแล้ว
เบี้ยประกันที่จ่ายไปยังสามารถนำไปใช้ ลดหย่อนภาษี ได้อีกด้วย
ประกันสะสมทรัพย์ คือ การผสมผสานระหว่าง ความคุ้มครองชีวิต และ การออมเงิน
ส่วนคุ้มครอง: ผู้เอาประกันภัยจะได้รับเงินสินไหมทดแทนหากเสียชีวิตภายในระยะเวลาที่กำหนด
ส่วนสะสมทรัพย์:
เมื่อครบกำหนดสัญญา (เช่น 10 ปี, 15 ปี, หรือ 20 ปี)
ผู้เอาประกันภัยจะได้รับเงินคืนเป็นจำนวนที่แน่นอน
ซึ่งโดยทั่วไปจะสูงกว่าเบี้ยประกันที่จ่ายไปทั้งหมด ทำให้เกิดผลตอบแทน
ข้อดีหลัก: เป็นการออมที่แน่นอน มีวินัยสูง และให้ผลตอบแทนที่ปลอดภาษีตามเงื่อนไข
สิทธิลดหย่อนภาษีที่มาพร้อมกับประกันสะสมทรัพย์ตามกฎหมายภาษีของประเทศไทย
ประกันชีวิตและประกันสะสมทรัพย์มีสิทธิในการนำเบี้ยประกันไปลดหย่อนภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาได้
ตามหลักเกณฑ์ที่กำหนด ดังนี้:
1. สิทธิลดหย่อนหลัก (สูงสุด 100,000 บาท)เบี้ยประกันชีวิตและเบี้ยประกันสะสมทรัพย์
(รวมถึงประกันบำนาญในส่วนที่ไม่มีเงื่อนไขตามข้อ 2)
สามารถนำมาลดหย่อนภาษีได้ตามที่จ่ายจริง สูงสุดไม่เกิน 100,000 บาท
เงื่อนไขสำคัญ:กรมธรรม์ต้องมีระยะเวลาคุ้มครองตั้งแต่
10
ปีขึ้นไปต้องเป็นเบี้ยประกันที่จ่ายให้กับบริษัทประกันภัยที่ประกอบกิจการในประเทศไทย
2. สิทธิลดหย่อนเพิ่มเติมสำหรับ "ประกันบำนาญ" (สูงสุด 200,000 บาท)หากประกันสะสมทรัพย์ที่เลือกมีลักษณะเป็น ประกันชีวิตแบบบำนาญ จะได้รับสิทธิลดหย่อนภาษีเพิ่มเติมแยกต่างหาก:
เบี้ยประกันบำนาญสามารถนำมาลดหย่อนได้ สูงสุด 200,000 บาท
เมื่อรวมกับสิทธิลดหย่อนหลักแล้ว
สิทธิลดหย่อนภาษีรวมสูงสุดของประกันชีวิตและบำนาญจึงอยู่ที่ 300,000 บาท
(โดยที่วงเงิน 100,000 บาทแรกเป็นวงเงินรวมของประกันทุกประเภท)
เงื่อนไขสำคัญของประกันบำนาญ:ระยะเวลาคุ้มครองตั้งแต่
10 ปีขึ้นไป กำหนดการจ่ายเงินบำนาญต้องเริ่มตั้งแต่อายุ 55 ปี จนถึงอายุ
85 ปีขึ้นไป
การเลือกประกันสะสมทรัพย์เพื่อลดหย่อนภาษีเพื่อให้การออมและการประหยัดภาษีเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ ควรพิจารณาสิ่งเหล่านี้
พิจารณา
"ผลตอบแทนรวม" (Internal Rate of Return - IRR): อย่ามองแค่ตัวเลขเงินคืน
แต่ให้เปรียบเทียบผลตอบแทนที่แท้จริงหลังจากหักค่าใช้จ่ายและคิดเป็นอัตราดอกเบี้ยทบต้นต่อปี
ประเมินอัตราภาษีของตนเอง:
ผู้ที่มีรายได้สูงและอยู่ในฐานภาษี 20% ขึ้นไป
จะได้รับประโยชน์จากการลดหย่อนภาษีสูงสุด
ดังนั้นการวางแผนเบี้ยประกันให้เต็มวงเงินที่สามารถลดหย่อนได้จึงมีความคุ้มค่ามาก
เลือกความคุ้มครองที่เหมาะสม:
แม้จะเป็นการออม
แต่ควรตรวจสอบความคุ้มครองชีวิตขั้นต่ำว่าเพียงพอต่อภาระหนี้สินและความรับผิดชอบหรือไม่
ระยะเวลาออมที่สอดคล้องกับเป้าหมาย:
เลือกแผนที่ระยะเวลา 10 ปี, 15 ปี หรือ 20 ปี
ให้สอดคล้องกับเป้าหมายทางการเงิน (เช่น ออมเพื่อเป็นทุนการศึกษาบุตร
หรือเงินก้อนหลังเกษียณ)